BCM หรือ BCP ที่องค์กรต้องมี ?
BCM และ BCP เป็นคำที่ทุก ๆ คนคงจะเคยได้ยินกันมาบ้างแล้วว่า องค์กรในยุคปัจจุบันต้องมีการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินที่มากระทบกับการดำเนินงานขององค์กรที่อาจจะทำให้เกิดการหยุดชะงักการดำเนินธุรกิจ เพื่อให้องค์กรสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องและมีผลประกอบการที่ดีที่เป็นไปตามเป้าหมายที่แต่ละองค์กรตั้งไว้ในระดับที่ยอมรับได้ โดยสิ่งที่ต้องทำคือ “ทำ BCM และจัดทำแผน BCP” และการทำ BCM และแผน BCP มีความแตกต่างกันอย่างไรกันล่ะ?
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักถึงความหมายของ “BCM” และ “BCP” กันก่อนว่าเหมือนหรือต่างกันอย่างไร
BCM (Business Continuity Management) คือ การบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจที่องค์กรควรต้องกำหนดเป็นกระบวนการในการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการจัดการกับสถานการณ์ที่ก่อให้เหตุการณ์ฉุกเฉินที่มากระทบต่อการดำเนินงานขององค์กร ทำให้เกิดการหยุดชะงักของกิจกรรม (activities) ที่ส่งผลให้องค์กรไม่สามารถดำเนินการส่งมอบผลิตภัณฑ์/บริการให้กับลูกค้าได้ตามข้อตกลงได้อย่างต่อเนื่องให้อยู่ภายใต้ระยะเวลาที่กำหนดและทำให้องค์กรสามารถฟื้นกลับมาดำเนินการเพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์/บริการในระดับที่ตกลงไว้กับลูกค้า/ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้อย่างต่อเนื่อง
BCP (Business Continuity Plan : แผนการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ) เป็นเอกสารที่องค์กรมีการจัดทำขึ้นเพื่อกำหนดแนวทางในการปฏิบัติในการดำเนินการเพื่อเตรียมความพร้อมและตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดการหยุดชะงักของกิจกรรมที่ส่งผลองค์กรไม่สามารถดำเนินการส่งมอบผลิตภัณฑ์/บริการให้กับลูกค้าได้ โดยองค์กรต้องมีการฟื้นกลับคืนมาเริ่มดำเนินกิจกรรมที่หยุดชะงักใหม่ภายใต้ระยะเวลาที่กำหนด เพื่อให้สามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์/บริการได้ในระดับที่ตกลงยอมรับได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด รวมถึงการคืนกลับมาสู่สภาพปกติในภายหลัง
ดังนั้นองค์กรจะจัดทำแผนบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (หรือที่เรียกกันติดปากว่า “แผน BCP”) และนำไปใช้ประโยชน์ต่อการดำเนินธุรกิจขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพได้นั้นองค์กรจะต้องมีการกำหนดกระบวนการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (หรือ BCM) ที่บูรณาการเข้ากับผังกระบวนการทางธุรกิจขององค์กร (Business Process) เพื่อให้เกิดการจัดทำแผน BCP ได้อย่างเป็นระบบ ทั้งนี้องค์กรอาจพิจารณาเลือกใช้
Good Practice Guidelines ที่ The Business Continuity Institute (BCI) ได้จัดทำขึ้นเพื่อให้แนวทางในจัดการการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจในองค์กร หรือ
มาตรฐาน ISO 22301 ที่องค์กร ISO ได้มีการจัดทำเป็นข้อกำหนดระบบบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Management System)
เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจขององค์กรหรือใช้เป็นแนวทางในการจัดทำแผนบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจสำหรับใช้ในการปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดการหยุดชะงักที่กระทบต่อการดำเนินธุรกิจขององค์กรเพื่อองค์กรสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องและบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจที่องค์กรได้กำหนดไว้ได้อย่างยั่งยืนต่อไป
ที่มาแหล่งข้อมูล :
องค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐาน (International Organization for Standardization– ISO) https://www.iso.org
The Business Continuity Institute (BCI) https://www.thebci.org
ปรับปรุงข้อมูล : เมษายน 2565
องค์กรต้องมี BCM หรือ BCP เพื่อเก็บรักษาความยั่งยืนและความเชื่อถือในตลาด นี่คือเหตุผลหลักที่องค์กรต้องมี BCM หรือ BCP
ความยั่งยืนของธุรกิจ BCM หรือ BCP ช่วยให้องค์กรสามารถดำเนินธุรกิจได้ตลอดเวลา แม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินหรือภัยคุกคามที่ไม่คาดคิด เช่น ภัยพิบัติธรรมชาติ ภัยคุกคามด้านความปลอดภัยข้อมูล หรือภัยคุกคามทางธุรกิจอื่น ๆ
การปกป้องสิทธิบัตรและการเชื่อมโยงกับลูกค้า การบริหารจัดการความเสี่ยงและการเตรียมความพร้อมในกรณีฉุกเฉินช่วยลดความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อสิทธิบัตรขององค์กรและความเชื่อถือของลูกค้า
การประหยัดทรัพยากร การมีการวางแผนและการจัดการธุรกิจในสถานการณ์ฉุกเฉินช่วยลดความสูญเสียทางการเงินและทรัพยากรอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในกรณีภัยคุกคาม
ความเชื่อมั่นของผู้ลงทุน การมีแผนการจัดการความเสี่ยงและการป้องกันภัยคุกคามช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุนและสถานะขององค์กรในตลาด
ประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ การมีการวางแผนและการจัดการความเสี่ยงช่วยลดอัตราการขาดทุนในเวลาฉุกเฉิน และช่วยลดเวลาซ่อมแซมและการกู้คืนธุรกิจหลังจากภัยคุกคาม
เราจะสร้าง BCP ให้กับองค์กรของเราเริ่มได้อย่างไร
การสร้างแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ (BCP) เกี่ยวข้องกับการรวบรวมทีมงาน ศึกษาความเสี่ยงและภารกิจหลัก และเลือกกิจกรรมการกู้คืน จากนั้นเขียนแผนเป็นชุดรายการและแนวทางปฏิบัติ ซึ่งอาจจัดการกับความเสี่ยงต่างๆ เช่น อัคคีภัย น้ำท่วม โรคระบาด หรือการละเมิดข้อมูล จากข้อมูลของ Alex Fullick ทางออกที่ดีที่สุดของคุณคือสร้างแผนง่ายๆ
ต่อไปนี้เป็นขั้นตอนบางส่วนที่จะช่วยคุณสร้าง BCP ที่มีประสิทธิภาพสำหรับองค์กรของคุณ
1. สร้างทีมความต่อเนื่องหลักที่รับผิดชอบในการจัดทำแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจของคุณ
2. พิจารณาคน สินทรัพย์ และกระบวนการ
3. หารือเกี่ยวกับการพึ่งพา
4. ระบุลำดับความสำคัญของการดำเนินงานและกำหนดวัตถุประสงค์ของเวลาการกู้คืนที่ยอมรับได้
5. ฝึกฝนแผนของคุณและวางแผนที่จะฝึกฝน
6. ตรวจสอบและอัปเดตแผนของคุณอย่างสม่ำเสมอ
นี่คือตัวอย่างของบางองค์กรที่ใช้ระบบ BCM (Business Continuity Management) และ BCP (Business Continuity Planning) ในประเทศไทย
ธนาคารกสิกรไทย มีการดำเนินการ BCM และ BCP เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจได้ตลอดเวลาแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์สำคัญเช่นภัยพิบัติธรรมชาติ หรือเหตุการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของธนาคารได้
บริษัทปตท. หรือ บริษัทปิโตรเลียมไทย มีการใช้ระบบ BCM และ BCP เพื่อตรวจสอบและป้องกันความเสี่ยงทางธุรกิจที่อาจเกิดขึ้น เช่น ภัยพิบัติธรรมชาติ ภัยคุกคามด้านความปลอดภัย และปัญหาด้านการดำเนินงาน
บริษัทเอ็นเนอร์จี (Engie) เป็นบริษัทผู้ให้บริการพลังงานที่มีการนำเอาการจัดการความเสี่ยงและการวางแผนทางธุรกิจมาปฏิบัติในระบบ BCM และ BCP เพื่อให้บริการพลังงานให้ส่งมอบต่อไปได้ตลอดเวลา
บริษัท พีทีที พลัส (PTT Plus) เป็นบริษัทในเครือของ บริษัทปตท. ซึ่งมีการดำเนินการ BCM และ BCP เพื่อรับมือกับความเสี่ยงทางธุรกิจและสถานการณ์ฉุกเฉินที่เป็นไปได้ เช่น ภัยพิบัติธรรมชาติ การขาดแคลนพลังงาน หรือเหตุการณ์อื่น ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของบริษัท
บริษัท เซ็นทรัลกรุ๊ป (Central Group)เป็นหนึ่งในบริษัทค้าปลีกและร้านค้าออนไลน์ที่ใช้ระบบ BCM และ BCP เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจและการขายสินค้าได้อย่างต่อเนื่องแม้ว่าจะมีสถานการณ์ฉุกเฉินเกิดขึ้น เช่น ภัยพิบัติ การขาดแคลนวัตถุดิบ หรือปัญหาด้านลูกค้า
บริษัท ไทยเมดิคอล คอร์ปอเรชั่น (Thai MDC Corporation)คอร์ปอเรชั่นเป็นบริษัทที่ให้บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มีการทำ BCM และ BCP เพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เช่น ภัยพิบัติธรรมชาติ การขาดแคลนสายสื่อสาร หรือภัยคุกคามด้านความปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม, การใช้ระบบ BCM และ BCP ขึ้นอยู่กับธุรกิจและอุตสาหกรรมของแต่ละองค์กร มีองค์กรอื่น ๆ ในประเทศไทยที่ใช้ระบบเหล่านี้เพื่อให้ธุรกิจดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง
สรุป BCM หรือ BCP เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้องค์กรรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน ความเสี่ยง หรือภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับสมาชิกในองค์กรและผู้เกี่ยวข้องภายนอก ทำให้องค์กรสามารถดำเนินกิจการได้ตลอดเวลาแม้ในสถานการณ์ที่ฉุกเฉิน นอกจากนี้ยังช่วยลดความสูญเสียทางการเงินและทรัพยากรในกรณีภัยคุกคาม